10 สิ่งที่ต้องมีบนเว็บไซต์ธุรกิจ สร้างยอดขายได้จริง คุ้มค่าการลงทุน

10 สิ่งที่ต้องมีบนเว็บไซต์ธุรกิจ

10 สิ่งที่ต้องมี บนเว็บไซต์ธุรกิจ สร้างยอดขายได้จริง คุ้มค่าการลงทุน

สมัยนี้ใคร ๆ ก็ว่าทำธุรกิจต้องมีเว็บไซต์ ซึ่งก็เป็นความจริง เพราะเดี๋ยวนี้ผู้บริโภคคนไทยใช้เวลาอยู่กับอินเทอร์เน็ทถึงวันละ 9 ชั่วโมง การสร้างตัวตนธุรกิจเราบนโลกออนไลน์จึงสำคัญ แต่จุดยุทธศาสตร์ที่แท้จริงนั้นไม่ได้อยู่ที่การมีหรือไม่มีเว็บไซต์ แต่เป็นการตอบให้ได้ว่า เมื่อมีเว็บแล้ว คุณจะใส่อะไรลงไปในเว็บของคุณต่างหาก วันนี้ Power SME Thai เลยรวบรวมมาให้ดูว่ามีอะไรที่ควรใส่ในเว็บของเราบ้าง เพื่อให้การลงทุนทำเว็บได้ผลคุ้มค่าที่สุด

  1. ข้อมูลที่เพียงพอให้ตัดสินใจซื้อ

ข้อนี้สำคัญที่สุด ถ้าลูกค้าเปิดเว็บไซต์ของคุณแล้วได้ข้อมูลที่เพียงพอ เข้าอาจจะตัดสินใจซื้อหรือไม่ซื้อก็ได้ แต่ถ้าไม่มีข้อมูลที่อยากรู้เลย โอกาสซื้อย่อมเป็นศูนย์ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณเปิดเว็บไซต์ขายกระเป๋า ก็ควรจะมีรูปภาพสินค้าที่ชัดเจน ถ่ายในแสงสีขาว โชว์ด้านหน้า ด้านหลัง ด้านใน บอกขนาดสินค้า ประเภทวัสดุ ความยาวสายสะพาย ราคา เงื่อนไขการจัดส่ง การรับประกัน ฯลฯ ต้องใส่ข้อมูลอะไรแค่ไหน ควรเป็นภาพถ่ายหรือวิดีโอ ก็ขึ้นอยู่กับสินค้าและบริการของเรา แนะนำให้สังเกตลูกค้าว่าพวกเขาถามคำถามอะไรบ้างก่อนตัดสินใจซื้อ

  1. Call to Action ที่แข็งแรง

เมื่อลูกค้าอ่าน Content ในเว็บไซต์คุณแล้ว อยากให้พวกเขาทำอะไรต่อ อย่าลืมใส่ Call to Action ที่ชัดเจน เช่น ถ้าคุณอยากให้ลูกค้าดูแล้วกดสั่งซื้อผ่านเว็บ ก็ควรกระตุ้นด้วยคำว่า “คลิกซื้อเลย”, “สั่งซื้อตอนนี้”, “กดซื้อตอนนี้เพื่อรับโปรโมชั่น” หรืออาจจะเป็น Action อื่น ๆ ขึ้นอยู่กับธุรกิจของคุณ เช่น “โทรหาเราเลย”, “คลิกจองที่นั่งก่อนใคร”, “ลงทะเบียนรับสิทธิ์ที่นี่”, “คลิกเพื่อรับสินค้าทดลอง” เป็นต้น จุดสำคัญคือต้องอ่านแล้วเข้าใจง่าย และกระตุ้นให้ทำโดยเร็ว

  1. ช่องทางโซเชียลมีเดีย

โดยทั่วไปเว็บไซต์จะมีปลั๊กอินให้ใส่ลิงก์ไปโซเชียลมีเดียได้ เช่น Facebook, Instagram, Line, YouTube, LinkedIn ซึ่งถ้าแบรนด์มีช่องทางพวกนี้อยู่ก็ควรใส่ให้ลูกค้าเห็นชัดเจน ในกรณีที่ลูกค้าต้องการติดตามแบรนด์อย่างใกล้ชิด หรืออยากเช็คดูว่าแบรนด์นี้ยังมีความเคลื่อนไหวอยู่หรือไม่ ก็มักจะมองหาลิงก์โซเชียลมีเดียเหล่านี้

  1. ข้อมูลติดต่อทางอื่นนอกจากออนไลน์

นอกจาก Facebook, Line, Email ควรมีที่อยู่ที่ชัดเจนของบริษัทและเบอร์โทรศัพท์บอกไว้ในเว็บด้วย เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อว่าเป็นธุรกิจที่มีหลักแหล่งอยู่จริง และติดต่อได้ในกรณีรีบด่วน

  1. Responsive Design

Responsive Design คือการออกแบบเว็บไซต์ให้แสดงผลได้ดีในหน้าจอทุกขนาด ทั้งจอคอมพิวเตอร์ มือถือ และแท็บเล็ต เพราะคนรุ่นใหม่เข้าเว็บไซต์ผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่พอ ๆ กับคอมพิวเตอร์ ถ้าเปิดในมือถือแล้วภาพขาด ๆ เกิน ๆ ตัวหนังสือขนาดผิดเพี้ยนไป จะทำให้ภาพลักษณ์ธุรกิจดูล้าสมัยไปในทันที

  1. ติดตั้ง Google Analytics

การติดตั้ง Google Analytics จะช่วยให้เราเก็บสถิติของคนที่มาดูเว็บไซต์ของเราได้ ว่ามีคนเข้ามาแค่ไหน มาจากทางไหนบ้าง หน้าไหนได้รับความนิยม ใช้เวลาคนละกี่นาที ฯลฯ เพื่อเอาไปปรับปรุงเว็บให้ดียิ่ง ๆ ขึ้น การติดตั้งก็ง่ายและฟรี เพียงเข้าไปที่ http://www.google.com/analytics/ สมัครสมาชิก แล้วตั้งค่าเก็บสถิติที่เราสนใจ ทาง Google Analytics ก็จะให้ Code กับเราเพื่อเอาไปฝังในทุกหน้าของเว็บไซต์ ถ้าทำเองไม่เป็น ก็ส่ง Code นี้ให้กับคนที่ทำเว็บให้เราช่วยติดตั้งให้ เท่านี้ก็เรียบร้อย ตรวจเช็คประสิทธิภาพของเว็บผ่าน Google Analytics ได้เลย

  1. การทำ SEO

การทำ SEO (Search Engine Optimization) คือการออกแบบเว็บไซต์และ Content ให้แสดงผลเป็นอันดับต้น ๆ ของ Google เมื่อมีคนค้นหาคีย์เวิร์ดที่เราต้องการ หลักการ SEO พื้นฐานก็จะประกอบด้วย:

  • ทำการเว็บไซต์ให้เป็น Responsive
  • ทำเว็บไซต์ให้เห็น SSL หรือ https เพื่อความปลอดภัย
  • ทำเว็บไซต์ให้ดาวน์โหลดเร็ว เพราะจะมีผลให้ Google เลือกแสดงผลในอันดับที่สูงขึ้น
  • ทำ SEO On-page โดยเขียน Content ให้มีคีย์เวิร์ดที่ต้องการอยู่ในเนื้อหาในตำนวนที่เหมาะสม ตรงกับที่คนนิยมค้น และตรงกับของที่เราขาย เช่นคำว่า “กระเป๋าผ้าแคนวาส”, “กระเป๋าแบรนด์เนมมือสอง”, “ช่างซ่อมแอร์” เป็นต้น
  • ติด Alt text ให้กับรูปภาพทุกภาพ โดยให้ตรงกับคีย์เวิร์ดที่คนค้นหา
  • การใส่ Meta Description ของโพสต์ให้มีความยาวพอเหมาะ และมีคีย์เวิร์ดอยู่ในนั้น
  • การใส่ Internal Links ไปยังบทความอื่นภายในเว็บ และ External Links ไปยังเว็บไซต์อื่นที่มีคุณภาพและเนื้อหาเกี่ยวข้องกัน
  • ถ้าทำเว็บด้วย WordPress ควรติดตั้งปลั๊กอิน Yoast SEO ที่จะช่วยเราเช็คและให้คะแนน Content ว่าได้จะผลทาง SEO ดีแค่ไหน และควรแก้ตรงไหนบ้างก่อนจะโพสต์ลงไป
  1. เรื่องราวของแบรนด์

เรื่องราวของแบรนด์ (Brand Story) เป็นสิ่งที่ทำให้สินค้ามีมูลค่ามากขึ้น และเจ้าอื่นลอกเลียนแบบไม่ได้ ถ้าธุรกิจของคุณมีเรื่องเล่าที่น่าสนใจ ก็ควรจะเล่าให้ลูกค้าได้รับรู้ เช่น ประวัติธุรกิจ เส้นทางความสำเร็จของเจ้าของ ความหมายของโลโก้ เรื่องราวของวัตถุดิบ วิสัยทัศน์ที่ต้องการทำให้โลกดีขึ้น จุดยืนด้านสิ่งแวดล้อม ฯลฯ ก็จะช่วยให้แบรนด์คุณดูมีคุณค่าน่าจดจำในสายตาลูกค้ามากขึ้นเยอะ

  1. รางวัล มาตรฐาน กิจกรรมเพื่อสังคม

ถ้าธุรกิจคุณเคยได้รับรางวัลหรือผ่านการรับรองมาตรฐานต่าง ๆ ที่เชื่อถือได้ ก็ควรบอกเล่าให้คนอื่นได้รู้ผ่านเว็บไซต์ รวมถึงภาพกิจกรรม CSR ที่ธุรกิจเคยเข้าร่วม ก็ควรรวบรวมไว้ด้วย เพื่อเป็นการยืนยันจุดยืนและวิสัยทัศน์ในข้อที่แล้วว่าได้มีการลงมือทำอย่างจริงจัง

  1. ความประทับใจลูกค้า

ถ้ามีรีวิวจากลูกค้าเก่า ๆ เรื่องราวความประทับใจจากลูกค้า หรือรายชื่อลูกค้าเจ้าใหญ่ที่เคยใช้บริการ ก็ควรขึ้นโชว์ในหน้าแรกของเว็บไซต์ เพราะผู้บริโภคมักจะเชื่อใจผู้บริโภคด้วยกันมากกว่าคำโฆษณาของแบรนด์ ยิ่งถ้ามีคนดัง ผู้เชี่ยวชาญ หรือคนที่เป็นตัวแทนของกลุ่มเป้าหมายให้การยอมรับสินค้าและบริการ ก็จะยิ่งตัดสินใจซื้อง่ายขึ้น (แต่ก่อนจะเผยแพร่ข้อมูลเหล่านี้ควรจะขออนุญาตลูกค้าเป็นรายบุคคลก่อนเสมอ)

นอกจาก 10 ข้อในเช็คลิสต์นี้ ถ้าทำได้คุณอาจจะเพิ่มส่วนอื่น ๆ ลงไปได้อีก เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดของเว็บไซต์ เช่น ระบบแชทกับพนักงาน การ์ดาวน์โหลดแคตตาล็อก บทความให้ความรู้ แบบทดสอบสำหรับช่วยเลือกสินค้า ระบบค้นหาสินค้าแบบละเอียด เป็นต้น ทั้งหมดนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าสินค้าและบริการของคุณเหมาะกับฟีเจอร์แบบไหนบ้าง โดยเน้นมอบประสบการณ์ที่ง่ายและดีที่สุดให้กับผู้บริโภคเป็นสำคัญ