3 สิ่งที่องค์กรไทยไม่ควรประมาทในโลกยุคดิจิทัล

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ในโลกยุคที่องค์กรส่วนใหญ่เริ่มตื่นตัวกับการปรับเปลี่ยนตัวเองเพื่อให้ตอบโจทย์การแข่งขัน และความต้องการของผู้บริโภคนั้น ยังมีองค์กรอีกมากที่ติดขัดและไม่สามารถก้าวข้ามความเป็นอะนาล็อกไปสู่ดิจิทัลได้อย่างราบรื่น โดยปัจจัยที่เป็นปัญหาระดับต้น ๆ คือการขาดความรู้ ความเชี่ยวชาญ รวมถึงขาดองค์ความรู้ในการทรานสฟอร์มองค์กร

สิ่งที่องค์กรไทยไม่ควรประมาทในโลกยุคดิจิทัลมี 3 ประการ

  • คู่แข่งของธุรกิจสามารถเกิดขึ้นมาได้จากทุกที่ เห็นได้จากการเกิดขึ้นของบริษัทยักษ์ใหญ่ เช่น กูเกิล เฟซบุ๊ก เสี่ยวมี่ ที่ใช้เวลาไม่ถึงสิบปี จนมีมูลค่าเกินหนึ่งพันล้านดอลลาร์ ในขณะที่บริษัทในอดีตอาจต้องใช้เวลาถึง20 ปี จึงจะเติบโตและมีมูลค่าดังกล่าว
  • การตระหนักว่า ดิจิทัลไม่ใช่เรื่องของอนาคตอีกต่อไป หากแต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในปัจจุบัน เห็นได้จากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะประเทศไทยที่มีอัตราการใช้อินเตอร์เน็ตสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ดังนั้น หากธุรกิจไม่เริ่มเปลี่ยนตั้งแต่วันนี้ อาจไม่สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้อีกต่อไป
  • ธุรกิจต้องมองหาพาร์ทเนอร์ หรือพันธมิตรจากส่วนต่าง ๆ มากขึ้น เพราะการมี พาร์ทเนอร์จะทำให้เกิดการเชื่อมโยงกัน และเกิดการไหลเวียนของดาต้า ซึ่งดาต้าเหล่านี้เองจะกลายเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อตัวธุรกิจนั้น ๆ ในที่สุด

สำหรับธุรกิจที่ไม่มั่นใจว่าจะปรับเปลี่ยนองค์กรอย่างไรให้เข้ากับยุคดิจิทัลนั้น อิชิโร ฮาระ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอบีม คอนซัลติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ได้ให้แง่คิดสำคัญไว้ 4 ข้อ นั่นคือ

  • ต้องพิจารณาจากลูกค้าขององค์กรเป็นสำคัญ และปรับองค์กรให้ตอบโจทย์ลูกค้าของตนเอง เช่น กรณี ของอุตสาหกรรมยานยนต์ บริษัทอย่างโตโยต้า โฟล์กสวาเกน หรือ เจเนอรัล มอเตอร์ ตระหนักดีว่า ผู้บริโภคต้องการความสะดวกสบายในการเดินทางมากขึ้น และลำพังการผลิตรถยนต์ให้ดีที่สุดนั้นไม่เพียงพออีกแล้ว บริษัทเหล่านี้จึงเริ่มลงทุนในความสามารถด้านอื่น เช่น จับมือกับบริษัท Ride Sharing หรือ ผู้ให้บริการเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
  • ต้องยอมรับความหลากหลาย และไม่ยึดติดกับบุคลากรของตัวเองแต่เพียงฝ่ายเดียว ยกตัวอย่างเช่น บริษัทจีอี ที่ตระหนักดีว่าบริษัทนั้นอาจไม่มีบุคลากรที่มีพื้นฐานด้านดิจิทัลมากพอ จึงมีการเปิดรับบุคลากร จากบริษัทอื่น ๆ เช่น กูเกิล ซิสโก้ ออราเคิล ฯลฯ เข้ามาร่วมงาน เช่นเดียวกับแพลตฟอร์ม LANDLOG ของโคมัตสุ ที่มีพาร์ทเนอร์มากมายเข้าร่วม ทั้งโดโคโม, SAP และ OPTiM ความหลากหลายเหล่านี้นั่นเองที่เป็นกุญแจสู่การสร้างนวัตกรรมและคุณค่าใหม่ ๆ ในธุรกิจ
  • การปรับกระบวนการด้านการประเมินผลใหม่ เพราะการประเมินผลแบบเดิมอาจไม่เหมาะกับการเปลี่ยนแปลงอันรวดเร็วในยุคดิจิทัลอีกต่อไป เช่น กรณีของอเมซอนที่ไม่ได้ตัดสินใจจากผลกำไรขาดทุนอย่างเดียวเท่านั้น แต่ใช้ตัวเลข Free Cash Flow ประกอบด้วย หรือกรณีของกูเกิลที่นำ OKR (Objective and Key Results) มาปรับใช้แทน KPI
  • การสร้างแพลตฟอร์มที่เหมาะสม เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องและชิ้นส่วนทั้งหมดเชื่อมโยงถึงคุณค่าเดียวกัน เช่น กรณีของแอปเปิล ซึ่งไม่ได้ทำการผลิตสินค้าชิ้นใดด้วยตัวเองเลย แต่สร้างกฎเกณฑ์เพื่อควบคุมผู้ผลิตทั้งหมดให้ทำตามคุณค่าที่แอปเปิลออกแบบผลิตภัณฑ์ไว้ให้ครบถ้วน หรือพานาโซนิค ที่พร้อมสร้างความสัมพันธ์กับบริษัทที่เกี่ยวข้อง แม้จะเป็นคู่แข่ง เพื่อให้ลูกค้าได้รับประโยชน์สูงสุด ในยุคแห่งความเปลี่ยนแปลงนี้นั่นเอง