4 ความเชื่อผิด ๆ ที่เถ้าแก่ใหม่มักพลาด ทำธุรกิจพัง

4 ความเชื่อผิด ๆ ที่เถ้าแก่ใหม่มักพลาด ทำธุรกิจพัง

ถ้าคุณเป็นคนหนึ่ง ที่ลาออกจากงานประจำเพื่อมาทำธุรกิจของตัวเอง ก่อนอื่นขอแสดงความยินดีกับก้าวสำคัญก้าวใหม่ในชีวิตคุณ และขอชื่นชมในความกล้าที่จะออกจาก Comfort Zone เพื่อเดินตามความฝันของตัวเองครับ

โดยทั่วไปคนที่เคยเป็นพันกงานบริษัทมาก่อน แล้วออกมาทำธุรกิจ มักจะไม่คุ้นชินกับ “อิสระ” ที่ไม่มีเจ้านายหรือระเบียบองค์กรมาคอยจ้ำจี้จ้ำไช หรือจับจ้องผลงานของคุณ ไม่มีเวลาเข้างานหรือออกงาน ซึ่งการจะทำธุรกิจให้สำเร็จได้ เราไม่ควรจะใช้อิสระนั้นแบบตามใจตัวเอง แต่ต้องอยู่ในโอวาทของ “วินัยในตัวเอง” บังคับตัวเองให้ขยันและสู้ไม่ถอย ไม่ทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม

และนี่คือ 4 ความเชื่อผิด ๆ สุดอันตราย ที่คุณต้องรีบสลัดทิ้งถ้าอยากเป็นเถ้าแก่มือใหม่ที่มีอนาคต

1. “ฉันทำทุกอย่างเองได้”

คนที่ไม่เคยเป็นนายจ้างมาก่อน ช่วงแรกมักจะไม่เคยชินกับการใช้งานคนอื่น อาจจะด้วยความเกรงใจ หรือไม่เชื่อฝีมือ แต่การจะทำธุรกิจด้วยตัวเองทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องยากมาก ถึงจะเป็นคนเก่งแค่ไหน มนุษย์เราก็มีแรงและเวลาอย่างจำกัด งานบางอย่างใช้เวลาและแรงมาก แต่มีผลกับธุรกิจเพียงน้อยนิด เช่นงานใช้แรงงานต่าง ๆ ซึ่งเจ้าของต้องเรียนรู้ที่จะหาคนที่เหมาะสมมาทำแทน เพื่อให้ตัวเองมีเวลาไปจัดการเรื่องอื่นที่สำคัญกว่า

นอกจากงานง่าย ๆ แต่เปลืองแรง ยังรวมถึงงานบางอย่างที่ต้องใช้ทักษะเฉพาะทาง เช่น งานบัญชี ทำเว็บไซต์ เขียนโปรแกรม ทำภาพกราฟิก ฯลฯ จริงอยู่ที่ตัวเจ้าของถ้าฝึกฝนมากพอก็คงทำเองได้ในระดับหนึ่ง แต่ถ้าไม่ขัดสนเรื่องต้นทุนจนเกินไป การจ้างมืออาชีพมาช่วยดูแลก็มีโอกาสจะได้งานที่ดีกว่า โดยใช้ทรัพยากรน้อยลง

2. “ฉันเป็นนายตัวเอง”

ข้อผิดพลาดยอดฮิตของเถ้าแก่มือใหม่ คือความคิดว่าการเป็นเจ้าของธุรกิจคือการเป็นเจ้านายตัวเอง จะตัดสินใจยังไงก็ได้ตามใจ แต่ความจริงแล้วเจ้านายของคุณคือ “ลูกค้า” ต่างหาก จงให้เกียรติ นอบน้อม รับฟัง และเอาใจลูกค้าให้เหมือนกับที่ทำเจ้านายตอนเป็นมนุษย์เงินเดือน เพราะลูกค้าเท่านั้นที่จะตัดสินว่าคุณควรได้เงินหรือไม่ หรือสุดท้ายควรต้องเลิกกิจการ

ตอนที่เป็นพนักงานบริษัท คุณอาจจะมีหัวหน้าอยู่ไม่กี่คน ถ้าคิดว่าการเอาใจคนเหล่านั้นมันวุ่นวายเกินจะทน ก็จะบอกเลยว่าในบทบาทของเจ้าของกิจการมันวุ่นวายกว่านั้นเยอะ คุณจะมีหัวหน้าเป็นร้อยเป็นพันคนที่คอยตัดสินใจคุณอยู่ แต่ละคนร้อยพ่อพันแม่ นี่แหละคือบทพิสูจน์ว่าคุณคู่ควรกับความสำเร็จหรือไม่

3. “พอธุรกิจเริ่มอยู่ตัว ฉันก็พักได้”

ถ้าคุณทำธุรกิจแบบพอมีกำไรให้อยู่ได้ไปวัน ๆ ทำงานแบบเดิมซ้ำ ๆ วนไปโดยไม่มีการตั้งเป้าหมายอะไรเลย นานวันเข้าเมื่อคู่แข่งรุกคืบเข้ามา หรือลูกค้ามีความนิยมที่เปลี่ยนไป คุณก็จะถูกบีบให้เปลี่ยนแปลงทั้งที่ไม่พร้อม จนสุดท้ายก็อาจจะต้องเลิกกิจการไม่ต่างอะไรกับพนักงานที่โดนลอยแพ

ฉะนั้นธุรกิจของคุณต้องมีเป้าหมายในระยะยาว เช่น ยอดขายต้องเติบโต 10% ในปีนี้ หลังจากนั้นก็เอาเป้าหมายนั้นมาแตกเป็นเป้าหมายย่อย ๆ เช่น ยอดขายต่อวันต้องไม่ต่ำกว่า 4,000 บาท ทุกเดือนต้องหาลูกค้าใหม่ให้ได้อย่างน้อย 10 ราย ต้องออกสินค้าใหม่ทุกครึ่งปี เพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะไม่ถูกคู่แข่งทิ้งไว้ข้างหลัง

4. “การกู้เงิน เป็นบ่อเกิดหายนะ”

นักธุรกิจมือใหม่ มักจะกลัวการขอสินเชื่อเอามาก ๆ พยายามดำเนินธุรกิจด้วยเงินเก็บและกำไรสะสมเท่านั้น เพราะเชื่อว่าไม่มีต้นทุนดอกเบี้ยจะดีที่สุด แต่ความจริงโอกาสทางธุรกิจอาจเข้ามาในขณะที่เงินสดเรายังมีไม่พร้อม กว่าจะรอให้สะสมทุนได้ โอกาสนั้นก็หายไปซะแล้ว ถ้าเป็นแบบนี้เรียกว่าต้นทุนค่าเสียโอกาส (Opportunity Cost) นั้นอาจจะแพงเกินดอกเบี้ยไปด้วยซ้ำ

การกู้เงินไม่ใช่เรื่องผิดครับ ถ้าเรามีแผนการลงุทนที่รัดกุมพอ ซึ่งสถาบันการเงินนี่ล่ะคือมืออาชีพด้านประเมินแผนการลงทุน ใครขาดเงินทุน แต่ไม่ชัวร์ว่าแผนธุรกิจตัวเองดีพอไหม อยากให้กล้าที่จะเข้ามานำเสนอกับสถาบันการเงินครับ ถ้าสินเชื่อได้รับอนุมัติ ก็แปลว่าผู้เชี่ยวชาญมองเห็นถึงศักยภาพของเรา จงกล้าที่จะนำเงินทุนไปทำให้งอกเงย

ความเชื่อผิด ๆ พวกนี้ มีอยู่ในหัวแค่เพียงข้อเดียวก็เพียงพอจะทำให้ธุรกิจพังได้แล้วครับ แม้เป็นทายาทผู้มารับช่วงต่อธุรกิจที่มั่นคง Mindset เหล่านี้อาจทำลายสิ่งที่สั่งสมมาเป็นสิบปีได้ในเวลาอันสั้น คนเป็นผู้บริหาร นอกจากเฝ้าดูลูกน้อง ก็ต้องไม่ลืมระวังใจตัวเองอยู่เสมอด้วยนะครับ