จิ๋วแต่สตรอง…ยืนหนึ่งแม้การแข่งขันสูง

ยุค 4.0 ที่มนุษย์ยุคใหม่พร้อมใจเดินเข้าฟิตเนส ฟิตหุ่นเพรียว รีดไขมัน ปั้นกล้ามตามสมัยนิยม ทำให้ฟิตเนสสตูดิโอ บูมขึ้นมาอีกครั้ง แน่นอนว่าส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นเชนใหญ่จากต่างชาติเข้ามาบุกตลาดเสียส่วนใหญ่

แต่ก็ใช่ว่าฟิตเนสสตูดิโอเหล่านี้จะเฟื่องฟูเสมอไปทุกแบรนด์ เพราะแบรนด์ยิ่งใหญ่และมีสาขาเยอะมากเท่าไหร่ ค่าใช้ในการบริหารจัดการก็ยิ่งมากขึ้น รวมทั้งยังต้องหาลูกค้าเพิ่มรัวๆ แต่อย่าลืมว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่ยังชื่นชอบความเป็นส่วนตัว มากกว่าไปแย่งใช้แย่งเล่นและซื้อครอสเทรนเนอร์แพงๆ ลองมาดูตัวอย่างของฟิตเนสสตูดิโอสัญชาติไทยที่กล้าเอ่ยปากว่าไม่ต้องการลูกค้าและสาขาจำนวนมาก ๆ แต่สตรองทั้งลูกค้าและรายได้แบบอยู่ได้สบายๆ

ฟิตเนสสตูดิโอที่ว่าคือ  “Bliss Body” ของฟลุ๊ก รัชวรรณ จงประสิทธิ์ ผู้ที่อินกับการออกกำลังกาย บวกกับความชื่นชอบและหลงใหลในมนต์เสน่ห์ของพิลาทิส (Pilates) สุดท้ายก็ทนความฝันที่ต้องการมีฟิตเนสสตูดิโอเล็ก ๆ ในแบบของตัวเองไม่ไหว จึงลงทุนควักกระเป๋ากว่า 10 ล้านบาท ปั้น “Bliss Body” ด้วยความหวังว่าจะได้ออกกำลังกายแบบที่ชอบ ในสถานที่ที่ใช่ได้ทุกวัน

“Bliss Body” ของ ฟลุ๊ก รัชวรรณ อาศัยช่องว่างทางตลาด กับบิซิเนสโมเดลที่มีจุดขายคือ ความพรีเมียมและความเป็นส่วนตัวของลูกค้า

“เป้าหมายเราคือกลุ่มแม่บ้าน พนักงานออฟฟิศ ที่ไม่ชอบความพลุกพล่านและคนเยอะ ๆ และบางส่วนก็เขินอายที่ต้องไปใช้บริการฟิตเนสแบรนด์ใหญ่ตามห้างสรรพสินค้าที่เต็มไปด้วยคนใช้บริการดังนั้น 90% ของลูกค้าตอนนี้คือผู้หญิง ที่ต้องการความเป็นส่วนตัวแบบเอ็กซ์คลูซีฟหน่อย ๆ เพราะเราเป็นฟิตเนสพรีเมียม ที่เน้นความโล่ง โปร่ง สบาย สะอาด บรรยากาศเหมือนอยู่ในสปา กั้นเป็นส่วน ๆ”

แม้ว่าอุปกรณ์และเครื่องเล่นออกกำลังกายจะไม่เยอะเหมือนฟิตเนสแบรนด์ดัง แต่ลูกค้าคนไหนจะเข้ามาใช้บริการที่นี่ก็ต้องมีการโทรศัพท์จองก่อนทุกครั้ง แล้วทีมงานจะคอยจัดคิวให้ ซึ่งเป็นวิธีการจัดการของรัชวรรณ ที่ไม่ต้องการให้ลูกค้าต้องมานั่งรอเพื่อใช้บริการ

ส่วนค่าบริการอยู่ที่ราว ๆ 15,000-85,000 บาท ซึ่งมองเผินเผินอาจคิดว่าราคาสูง แต่นี่คือราคารวมเทรนเนอร์แล้ว ลูกค้าทุกคนที่เข้ามาใช้บริการไม่ต้องซื้อเทรนเนอร์เพิ่ม เพราะด้วยคลาสเรียนค่อนข้างเล็ก คลาสละไม่เกิน 4 คน หรือซุมบ้าประมาณ 10 คนต่อคลาส ทำให้เทรนด์เนอร์สามารถดูแลได้ทั่วถึง

นอกจากนี้ยังมีการนำบิซิเนสโมเดลแบบตัดพอยนต์มาใช้เป็นครั้งแรกอีกด้วย “ระบบตัดพอยต์ที่เราใช้จะช่วยให้ลูกค้าสามารถนำพอยนต์ไปใช้บริการได้ทุกคลาสไม่จำกัด และเมื่อพอยนต์เหลือยังสามารถโอนให้กับผู้เล่นคนอื่นได้ โดยปัจุบันเรามีคลาสพิลาทิส (Pilates) ฟังก์ชันนอล เทรนนิ่ง (Functional Training) โยคะ และซุมบ้า รวมทั้งมีห้องไพรเวตสำหรับลูกค้าที่ต้องการความเป็นส่วนตัวมาก ๆ”

ไม่ใช่แค่คลาสเรียนเท่านั้นแต่อีกหนึ่งสิ่งที่ช่วยดึงดูดให้ฟิสเนตสตูดิโอแห่งนี้ไม่เคยว่างเลยก็คือ ความพรีเมียมและความเป็นส่วนตัวของลูกค้าตั้งแต่อุปกรณ์เครื่องออกกำลังกายทั้งหมดที่สั่งเข้ามาจากอเมริกาโดยตรง อุปกรณ์ทุกชิ้น หลังจากลูกค้าเล่นเสร็จจะมีแม่บ้านเช็ดทำความสะอาดทันที รวมทั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวกในห้องอาบน้ำที่ผู้หญิงจำเป็นต้องใช้ทั้งสบู่ แชมพู ไดร์เป่าผม “Bliss Body”ก็เตรียมให้พร้อม

ที่สำคัญเทรนเนอร์ที่เข้ามาทำงานที่นี่ก็ต้องมีใบรับรองและประสบการณ์ ที่ต้องสำคัญต้องผ่านมาตราฐานของ รัชวรรณ ก่อนเช่นกัน

“เทรนเนอร์ทุกคนที่เข้ามาต้องมีประสบการณ์ ใบรับรอง สอนดี ตอนที่สัมภาษณ์เขาต้องทดลองสอนเราก่อน เพราะถ้าเขาสอนเราได้ เขาก็จะสอนลูกค้าเราได้ ซึ่งตัวฟลุ๊กเองก็เป็นเทรนเนอร์ด้วยก่อนหน้านี้ เราก็ต้องมีการเรียน อบรมเพื่อเป็นเทรนเนอร์ จะเรียกว่าเป็นการทำธุรกิจที่เอาแต่ใจก็ได้ เพราะทุกอย่างที่นี่มาจากความชอบของเรา

ยอมรับตามตรงว่าเรื่องธุรกิจเรายังไม่แน่นพอ  ที่ทำเพราะเรารักตรงนี้ เราทำบิซิเนสโมเดลแบบเอาข้อดีของฟิตเนสหลายที่ที่เราเคยใช้บริการแล้วดีมารวมกัน ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่ที่มา 99% ชอบแบบนี้ ชอบความเป็นส่วนตัว ชอบเซอร์วิส ชอบอุปกรณ์ นอกจากนี้เรายังต้องเรียนเพิ่มในเรื่องของการเทรนด์การออกกำลังกายว่าเราต้องสอนยังไง แก้ปัญหาให้ลูกค้ายังไง ในตอนแรกที่ออกมาเปิดฟิตเนส เราคาดหวังว่าจะได้ออกกำลังที่ชอบทุกวัน แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ได้เป็นแบบนั้นเพราะไม่มีเวลาอย่างที่คิด”

เมื่อถามถึงอนาคตของ “Bliss Body” รัชวรรณก็ปิดท้ายว่า “เราไม่ต้องการลูกค้าเป็นร้อยคน ๆ ขยายสาขาเยอะ ๆ แต่เราชอบความเป็นส่วนตัวแบบนี้ ของเราเน้นส่วนตัว ดังนั้นเรื่องของการตลาดจึงไม่ค่อยจำเป็น นอกจากช่องทางหลักที่ทำตอนนี้คือ ออนไลน์ และสื่อบ้าง ถ้าหากที่นี่ไม่สามารถรองรับลูกค้าได้แล้วก็อาจพิจารณาขยายสาขาเพิ่มเติมในอนาคต”