เทคนิคตั้งเป้าหมายให้ “SMART” เพื่อไปสู่ความสำเร็จเร็วขึ้นกว่าเดิม

เทคนิคตั้งเป้าหมายให้

อยากประสบความสำเร็จ ต้องเริ่มจากการตั้งเป้าหมายให้ดี

เพราะเป้าหมายที่เราตั้งไว้ จะเป็นตัวกำหนดกลยุทธ์ทั้งหมด บอกให้รู้ว่าแต่ละคนในทีมต้องทำอะไร และเป็นกำลังใจให้เราพุ่งไปหาเป้าหมายได้โดยไม่ไขว้เขวหรือหมดกำลังใจไปซะก่อน

ว่าแต่…เป้าหมายของเราตอนนี้มันดีพอหรือยัง? ตั้งเป้าหมายแบบไหนล่ะถึงจะดีที่สุด?

SMART Goal : นิยามของ เป้าหมายที่ดี

“SMART Goal” คือเครื่องมือตั้งเป้าหมายอย่างเป็นระบบ เพื่อให้จุดมุ่งหมายของภารกิจต่าง ๆ นั้นมีความชัดเจน วัดผลได้ ไม่เพ้อฝัน คอยประเมินได้ว่าเราเข้าใกล้เป้าหมายไปแล้วแค่ไหน ซึ่งคำว่า SMART นั้นย่อมาจาก Specific + Measurable + Achievable + Realistic + Time-bound

  • Specific (เฉพาะเจาะจง)

เป้าหมายนั้นมีความเฉพาะเจาะจง ฟังแล้วรู้ว่าสิ่งที่ต้องการจริง ๆ คืออะไร ไม่ได้บอกแค่ว่า “อยากได้อะไรสักอย่าง” แต่ต้องบอกได้ว่า “อยากได้เพราะอะไร”

จะทำธุรกิจ แบบนี้ไม่เฉพาะเจาะจง ไม่ผ่าน
ฉันจะทำธุรกิจ เพื่อเลี้ยงครอบครัวและสร้างความสุขให้ลูกค้า แบบนี้เฉพาะเจาะจง

  • Measurable (วัดผลได้)

เป้าหมายนั้นมีวิธีวัดผลเป็นรูปธรรม สามารถวัดเป็นเชิงปริมาณได้ ไม่ใช่การวัดในเชิงคุณภาพ

จะขายให้ได้เยอะๆ แบบนี้วัดผลไม่ได้ ไม่ผ่าน
จะทำยอดขาย 3 ล้านบาท วัดผลได้ เป็นตัวเลขชัดเจน

  • Achievable (เกิดภารกิจ รู้ว่าต้องทำยังไง)

เป้าหมายนั้นต้องประกอบด้วยภารกิจ ไม่ใช่แค่อยากได้ แต่ต้องบอกด้วยว่าจะทำอย่างไรถึงจะได้มา

จะทำยอดขาย 3 ล้านบาท โดยการขายของ ไม่เกิดภารกิจ
จะทำยอดขาย 3 ล้านบาท โดยขายอาหารออแกนิคพร้อมทานผ่าน Facebook” เกิดภารกิจ

  • Realistic (เป็นไปได้)

เป้าหมายนั้นสมเหตุสมผล ไม่เกินเอื้อม เป็นไปได้จริง ไม่อย่างนั้นอาจจะถอดใจไปซะก่อน

จะทำยอดขาย 3 ล้านบาท โดยขายให้ได้เดือนละ 1 ล้านบาท แบบนี้ยากเกิน
จะทำยอดขาย 3 ล้านบาท โดยขายให้ได้เดือนละ 125,000 บาท เป็นไปได้

  • Time-bound (มีกรอบเวลาชัดเจน)

เป้าหมายนั้นบอกด้วยว่าต้องทำให้ถึงเป้าภายในเมื่อไร เช่น ภายใน 1 ปี, ภายในสิ้นเดือน, ภายในปี 2565 เป็นต้น เพื่อให้เราวัดผลได้ว่าความคืบหน้าเป็นที่น่าพอใจหรือไม่

จะทำยอดขาย 3 ล้านบาท ตอนไหนก็ได้ แบบนี้ไม่มีกรอบเวลา
จะทำยอดขาย 3 ล้านบาท ภายใน 2 ปี มีกรอบเวลา

เทคนิคตั้งเป้าหมายให้ "SMART" เพื่อไปสู่ความสำเร็จเร็วขึ้นกว่าเดิม

แค่เริ่มจากเป้าหมายที่ SMART ก็ถือว่ามีชัยไปกว่าครึ่งแล้วครับ เทคนิคนี้สามารถเอาไปใช้ได้กับเป้าหมายทุกอย่าง เช่น การทำธุรกิจ การเก็บเงิน การพัฒนาตัวเอง หรือภารกิจอะไรก็ได้ที่คุณให้ความสำคัญ ลองดูแล้วจะเห็นความแตกต่างที่ชัดเจนครับ